เอกชนจวกกกพ.ทำหน้าที่เป็นแค่เครื่องคิดเลข คำนวณค่าไฟ ไร้แผนปรับโครงสร้างใดๆ
นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ค่าไฟงวดใหม่ (ม.ค.-เม.ย. 67) ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน หรือ กกพ. ประกาศออกมา คิดเป็นค่าไฟฟ้าหน่วยละ 4.68 บาท สูงขึ้นมาร่วม 17% จากราคาปัจจุบันหน่วยละ 3.99 บาท ระดับนโยบายควรต้องทบทวนมาตรการ ซึ่งตัวเลขที่มีมติออกมา ไม่มีแผนปรับปรุงลดค่าไฟฟ้า และปรับโครงสร้างใด ๆ รองรับเลย ทั้ง ๆ ที่หลายภาคส่วน นำเสนอแนวทางมาโดยตลอด
ทั้งนี้ สอท. มีมาตรการระยะสั้น กลาง และระยะยาว เช่น การเร่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้าหรือระยะสั้น เพื่อลดค่าเอฟที ภาครัฐให้ กฟผ. รับภาระค่าไฟฟ้า รัฐบาลต้องใช้เครื่องมือทางการเงินมาช่วย เช่น การออกพันธบัตรรัฐบาลมีระยะเวลาที่เหมาะสม เช่น 5 ปี, ปัญหาซัพพลายสูงเกินดีมานด์ เช่น ค่าความพร้อมจ่าย ลดมาจิ้นไม่เร่งการเพิ่มซัพพลาย ควรส่งเสริมและปลดล็อกพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ ให้สะดวกและเป็นธรรม
นอกจากนี้ ควรปรับสูตรราคาก๊าซธรรมชาติโดยให้ราคาขายก๊าซเพื่อใช้ในปิโตรเคมีเป็นราคาเดียวกับขายให้โรงไฟฟ้า รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพการจัดหา ก๊าซธรรมชาติเหลว ส่วนแนวทางแก้ปัญหาระยะกลางและระยะยาวนั้น ภาครัฐควรเร่งเจรจาแหล่งพื้นที่ปิโตรเลียมทับซ้อนไทย-กัมพูชา เพื่อเพิ่มปริมาณก๊าซธรรมชาติ ซึ่ง กกพ. ถือเป็นหน่วยงานที่ทราบปัญหาค่าไฟฟ้าดีที่สุด น่าจะมีข้อเสนอแนะเพื่อให้ภาคนโยบายขับเคลื่อนได้ ไม่ควรเป็นเพียงหน่วยงานคำนวณตัวเลข เอาต้นทุน สมมุติฐานต่าง ๆ มาคิดตามหลักการเดิม ๆ
“ประชาชนไม่ควรต้องมาลุ้นทุก ๆ 4 เดือน ว่าจะมีข่าวดีหรือข่าวร้ายจาก กกพคำพูดจาก เว็บสล็อตทดลองเล่น. อีกทั้งข่าวที่ออกมา ยังกระทบต่อราคาหุ้นโรงไฟฟ้า ดังนั้นเมื่อไม่มีการแก้โครงสร้างค่าไฟที่เหมาะสม การนำเสนอค่าไฟที่ถูกลง เสมือนเป็นข่าวดีที่เอาใจประชาชนตามมาจากระดับนโยบาย สุดท้าย กกพ. ก็จะเป็นแค่หนังหน้าไฟให้ผู้บริโภคถล่ม ก่อนที่ภาคนโยบายจะออกมาตรการมาสนับสนุนเหมือนครั้งที่ผ่านมา เรามั่นใจว่า ระดับนโยบายที่ทำงานผ่านมา ร่วม 3 เดือน ควรจะต้องมีเรื่องนโยบายดีๆ เพื่อปรับโครงสร้าง และแก้ไขต้นเหตุอย่างเป็นระบบ ด้วย มาตรการเชิงรุก เพื่อลดค่าของชีพของประชาชน และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจ ทั้งในระยะสั้น และระยะยาวต่อไป ฝ่ายนโยบายยังสามารถเลือกใช้คนเก่ง คนดี ทำงานเชิงรุก สร้างสรรค์ รวมทั้งสามารถสนองนโยบายที่ดี เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศเป็นที่ตั้งได้”